News

การตลาดแบบ “Cute Marketing” ที่มีแต่ความน่ารัก

ความนิยมในประเทศไทยในปีนี้ ไม่ว่าจะฟิกเกอร์ป๊อปมาร์ท น้องหมีเนยบัตเตอร์แบร์ หรือกระแสล่าสุดอย่างน้องหมูเด้ง ฮิปโปแคระตัวน้อยที่ความนิยมไม่ได้ครอบคลุมเพียงแค่ที่ประเทศไทยแต่ยังดังไปไกลทั่วโลกถึงขนาดที่สื่อดังในต่างประเทศอย่าง TIME หรือแม้แต่ CNN BBC และสื่ออื่นๆ อีกมากมายที่ต่างพร้อมใจเข้ามาเกาะกระแสน้องหมูเด้ง ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์ทางการตลาดที่คล้ายคลึงกันคือการชูความ ‘ความน่ารัก’ เป็นจุดดึงดูดความสนใจให้กลุ่มเป้าหมายเกิดภาพจำและรู้สึกอยากได้อยากมีจนเกิดการซื้อสินค้าในที่สุด ตัวอย่างเหล่านี้ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่เรียกว่า “Cute Marketing” ซึ่งการกลยุทธ์ทางการตลาดนี้มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์อธิบายเบื้องหลังด้วยเช่นกัน

ผลการศึกษาชี้ว่าความน่ารักส่งผลให้เราเกิดความสนใจและอยากครอบครองเพิ่มมากขึ้น งานวิจัยของ University of Oxford ในปี 2016 ได้ให้คำตอบว่าความน่ารักส่งผลอย่างไรต่อสมองและพฤติกรรมของเรา โดยผลการศึกษาระบุว่าความน่ารักยังช่วยกระตุ้นเร่งการทำงานของสมองในส่วน Orbitofrontal Cortex ที่เชื่อมโยงกับอารมณ์และความพึงพอใจของมนุษย์ ซึ่งอาจกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกอยากปกป้องคล้ายกับความรู้สึกที่พ่อแม่มักรู้สึกต่อลูกของตัวเองได้เช่นกัน นอกจากนี้บทความของ Vice ยังกล่าวถึงปฏิกิริยาแบบ Cute Aggression หรือการเห็นความน่ารักแล้วเกิดความรู้สึก ‘มันเขี้ยว’ เกิดจากการที่ฮอร์โมนที่ทำให้รู้สึกดีอย่าง Dopamine พุ่งสูงขึ้น ทำให้เกิดการปลดปล่อยอารมณ์หรือพลังงานออกมาจากความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาในลักษณะของความรู้สึกมันเขี้ยวนั่นเอง

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ความน่ารักเหล่านี้จะกระตุ้นให้เราเกิดความรู้สึกพึงพอใจ ชื่นชอบ และอาจนำไปสู่ความอยากได้อยากซื้อในที่สุด ตัวอย่างที่อาจเห็นได้ชัดในประเทศไทยก็มีอย่างเช่น Pop Mart ร้านที่รวบรวมฟิกเกอร์ตัวจิ๋วที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงหนึ่ง นอกจากการเกาะกระแสของคนไทยแล้ว ส่วนหนึ่งที่ทำให้ Pop Mart ประสบความสำเร็จมาจากความน่ารักของหุ่นจำลองตัวจิ๋วที่ทำให้หลายคนอยากจับซื้อจับจองเป็นเจ้าของกัน หรือน้องหมีเนย Mascot สุดฮิตจากร้าน Butterbear ที่มีความน่ารักทั้งรูปร่างหน้าตาและท่าทางการแสดงออกจนทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกหลงรักจนกระทั่งจองคิวซื้อสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้องหมีเนยในที่สุด อีกทั้งด้วยการสร้างเรื่องราวให้น้องหมีเนยมีความเป็นเด็กน้อย เช่น การเรียนอยู่ในชั้นอนุบาล การให้แฟนคลับช่วยตรวจการบ้าน เป็นต้น ยังส่งเสริมความรู้สึกน่าเอ็นดูในความน่ารักของน้องหมีเนยไปอีกด้วยเช่นกัน หรือตัวอย่างล่าสุดอย่างหมูเด้ง ฮิปโปแคระที่อายุประมาณ 2 เดือนจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียวที่ดังไกลไปถึงต่างประเทศจนก่อให้เกิดมีม (Meme) กระจายในอินเตอร์เน็ตอย่างแพร่หลายจากความน่ารักน่าเอ็นดูของน้องฮิปโปเกิดใหม่ตัวนี้

จะเห็นได้ว่าสิ่งที่สามอย่างยอดฮิตมีเหมือนกันอย่างหนี่งก็คือ ความน่ารัก ที่ใช้มาเป็นจุดขายได้อย่างดี สามกรณีนี้อาจเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ผู้ประกอบการที่มีความสนใจและอยากดึงดูดลูกค้าให้เกิดภาพจำและมีการซื้อสินค้าอาจนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองก็เป็นได้

ที่มาของข้อมูล/ภาพ: University of Oxford, Vice, Mental Floss, Spring News, Workpoint Today

อนาคตอีคอมเมิร์ซไทย: โอกาส การเติบโต และความท้าทาย

ในบทความนี้ ผู้เขียนจะพาผู้อ่านมาวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับตลาดอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce: EC) ในประเทศไทยหลังวิกฤตโควิด-19 (Covid-19) โดย อีคอมเมิร์ซ คือธุรกิจการซื้อขายที่ดำเนินการบนโลกออนไลน์ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน (Application) หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce Platform) ที่มีให้เลือกมากมายในปัจจุบัน ซึ่งการแข่งขันในธุรกิจนี้ถือว่าสูงมาก แพลตฟอร์มต่าง ๆ จึงต้องนำกลยุทธ์และจุดขายเฉพาะตัวออกมาเพื่อแย่งชิงความได้เปรียบและดึงดูดลูกค้าอย่างเข้มข้น

สินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซครอบคลุมตั้งแต่สินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ปัจจัย 4 ไปจนถึงบริการในด้านต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นรูปแบบการค้าขายที่ไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง ยิ่งในยุคที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ ก็ยิ่งส่งผลให้ธุรกิจประเภทนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือตลาดโลก

ซึ่งตามรายงานของ Google, Temasek และ Bain & Company ในปี 2024 ประเทศไทยถือเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีมูลค่ารวมของสินค้าทั้งหมด (Gross Merchandise Value: GMV) อยู่ที่ 30 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้ผู้บริโภคจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติหลังวิกฤตโควิด-19 แต่คาดว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะยังคงเติบโตในอัตราเฉลี่ยสะสมต่อปี (Compound Annual Growth Rate: CAGR) ที่ 17% ไปจนถึงปี 2025 และจะมีมูลค่า GMV เพิ่มขึ้นเป็น 49 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ในด้านผู้ให้บริการและผู้ขายสินค้า (Supply Side) สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ The Digital Advertising Association of Thailand (DAAT) ร่วมกับบริษัทวิจัยการตลาดชั้นนำอย่าง คันทาร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยผลสำรวจมูลค่างบโฆษณาดิจิทัลในประเทศไทยประจำปี 2023 โดยพบว่าการลงทุนโฆษณาดิจิทัลเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 14% คิดเป็นมูลค่า 29,283 ล้านบาท และคาดการณ์ว่ามูลค่าอุตสาหกรรมจะเติบโตต่อเนื่องอีก 8% ในปี 2024 ซึ่งจะทำให้มูลค่างบโฆษณาดิจิทัลเพิ่มขึ้นเป็น 31,558 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีการจัดอันดับ Top 5 อุตสาหกรรม ที่ใช้งบโฆษณาดิจิทัลมากที่สุดในปี 2023 ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีการลงทุนสูงสุดมีดังนี้:

  1. กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์: มีการลงทุนสูงที่สุด คิดเป็นมูลค่า 3,460 ล้านบาท
  2. กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์: มูลค่าการลงทุน 3,000 ล้านบาท
  3. กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์: มูลค่าการลงทุน 2,393 ล้านบาท
  4. ธุรกิจการสื่อสาร: มูลค่าการลงทุน 1,869 ล้านบาท
  5. กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม: มูลค่าการลงทุน 1,853 ล้านบาท

ทั้งนี้ การเติบโตอย่างต่อเนื่องของงบโฆษณาดิจิทัลสะท้อนถึงความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการตลาดออนไลน์ในทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนในยุคดิจิทัล

ในทางกลับกัน ในฝั่งของผู้บริโภค (Demand Side) จากการสำรวจพฤติกรรมทางดิจิทัลในรายงาน Digital 2024 โดย We Are Social และ Meltwater พบว่า คนไทยมีการใช้งานโซเชียลมีเดียสูงถึง 49.10 ล้านคน คิดเป็น 68.3% ของประชากรทั้งหมด โดยนิยมใช้งานผ่านมือถือมากที่สุด เฉลี่ยวันละกว่า 5 ชั่วโมง ส่วนการใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์อยู่ที่ประมาณ 3 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ ผู้บริโภคชาวไทยพบเจอแบรนด์ต่าง ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่:

  1. Search Engine: 35.2%
  2. โฆษณาบนมือถือ: 39.3%
  3. โฆษณาบนทีวี: 29.2%
  4. โฆษณาบนโซเชียลมีเดีย: 28.5%
  5. การเปรียบเทียบสินค้าบนเว็บไซต์: 28.3%

ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการตลาดดิจิทัลผ่านช่องทางที่เข้าถึงได้ง่ายและตรงกับพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภค เช่น มือถือและโซเชียลมีเดีย ยังคงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจในการสร้างการรับรู้และดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย

ทั้งนี้ ในมุมมองของผู้เขียน โอกาสในการเติบโตของอีคอมเมิร์ซไทยจะขึ้นอยู่กับความสามารถของธุรกิจในการปรับตัวและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เช่น การพัฒนาประสบการณ์การซื้อขายบนมือถือ การใช้ AI และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือการนำแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมาสร้างการมีส่วนร่วมได้อย่างตรงจุด อีกทั้งในมุมมองของธุรกิจที่ปรึกษา (Consulting Business) สิ่งสำคัญคือการวางกลยุทธ์แบบองค์รวมที่ไม่เพียงแต่เน้นการขาย แต่ยังต้องบริหารงบโฆษณา การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่แตกต่าง และการใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทที่ปรึกษาจะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจทิศทางและสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ธุรกิจที่สามารถผสมผสานเทคโนโลยี การตลาดดิจิทัล และการวางกลยุทธ์ที่ชัดเจน จะเป็นธุรกิจที่สร้างความได้เปรียบและเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

Source:

The e-Conomy SEA report 2024 report

DIGITAL 2024 THAILAND report

The Digital Advertising Association of Thailand 2024 report

อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงที่กำลังเติบโต: โอกาสและแนวโน้มในประเทศไทย

ในขณะที่ความผูกพันระหว่างมนุษย์กับสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงทั่วโลกก็ได้เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่สำคัญในอุตสาหกรรมนี้ การขยายตัวของเมือง รายได้ที่เพิ่มขึ้น และการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมีส่วนในการขยายตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยเป็นอย่างมากลัทำให้อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนและธุรกิจ

ภาพรวมของตลาด: ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเพิ่มขึ้นของการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นประจำทุกปีและคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากครัวเรือนในเมืองไทยหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว (Pet Parent) มากขึ้น แนวโน้มนี้มีความชัดเจนในหมู่ผู้อยู่อาศัยในเมืองที่หันมาเลี้ยงสัตว์เพื่อความเป็นเพื่อนในที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่จำกัด เช่น คอนโดมิเนียมและอพาร์ทเมนท์

 แนวโน้มผู้บริโภค: ผู้เลี้ยงสัตว์ในปัจจุบันมีความรู้และใส่ใจเรื่องความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงมากขึ้น ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น ตั้งแต่การเลือกอาหารสัตว์ออร์แกนิก ไปจนถึงบริการดูแลสัตว์เลี้ยงระดับพรีเมียม และแม้กระทั่งประกันสัตว์เลี้ยง อุตสาหกรรมนี้จึงได้ตอบสนองต่อผู้บริโภคที่มีความต้องการสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีความสนใจเพิ่มขึ้นในการจัดหาที่พักและพื้นที่สาธารณะที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในการรวมสัตว์เลี้ยงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน

โอกาสทางธุรกิจ: สำหรับธุรกิจ อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงที่กำลังขยายตัวนี้นำมาซึ่งโอกาสมากมาย ร้านค้าปลีกที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง บริการสัตวแพทย์ และสถานดูแลเฉพาะทางกำลังได้รับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การเพิ่มขึ้นของอีคอมเมิร์ซยังส่งผลให้ธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้เติบโตขึ้นอีกด้วย โดยแพลตฟอร์มออนไลน์กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับการซื้อสินค้าสัตว์เลี้ยงและบริการ นอกจากนี้ บริษัทต่างชาติยังให้ความสนใจในตลาดไทย โดยมองว่าเป็นประตูสู่ภูมิภาคอาเซียนที่กว้างขึ้น การร่วมมือกับธุรกิจในประเทศ พันธมิตรในด้านการดูแลสัตว์ และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นสัตว์เลี้ยงเป็นเพียงไม่กี่วิธีที่บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดที่กำลังเติบโตนี้

ความท้าทายและข้อควรพิจารณา: แม้ว่าอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยจะเต็มไปด้วยโอกาส แต่ก็ไม่ปราศจากความท้าทาย ข้อพิจารณาด้านกฎระเบียบ เช่น การจำกัดการนำเข้าอาหารสัตว์และผลิตภัณฑ์บางชนิด จำเป็นต้องได้รับการจัดการอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการเลี้ยงสัตว์และการดูแลอาจต้องการกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่เข้ามาในตลาด

อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยไม่ใช่เพียงแค่กระแส แต่เป็นการสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเติบโตของตลาดที่มีศักยภาพสูง ธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ที่เข้าใจลักษณะเฉพาะของตลาดในประเทศ โอกาสที่มีอยู่มากมาย และความต้องการในผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพสูงขึ้นก็จะเปิดโอกาสใหม่ ๆ สำหรับธุรกิจในหลากหลายภาคส่วน ความเข้าใจในแนวโน้มและพฤติกรรมของผู้บริโภค รวมถึงการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับความท้าทายทางกฎหมายและวัฒนธรรม เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความสำเร็จในระยะยาว โดยรวมแล้ว ตลาดสัตว์เลี้ยงในไทยยังคงเป็นพื้นที่ที่น่าลงทุนและพัฒนา สำหรับธุรกิจที่มีความเข้าใจและความพร้อมในการปรับตัว

ที่มาของข้อมูล/ภาพ: Euromonitor, Thailand Pet Products Association, World Pet Association, The Pet Industry Federation

กระบวนการควบรวมและการเข้าซื้อกิจการ (M&A): ขั้นตอนพื้นฐานสำคัญที่ควรรู้

การควบรวมและการเข้าซื้อกิจการ หรือ Mergers and Acquisitions (M&A) เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องการความรอบคอบในการดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจ เพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน หรือต้องการเข้าสู่ตลาดใหม่ กระบวนการ M&A เป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้ ในบทความนี้ เราจะสำรวจขั้นตอนพื้นฐานสำคัญของกระบวนการ M&A

1. การวางแผนและการวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์: กระบวนการ M&A เริ่มต้นด้วยการวางแผนเชิงกลยุทธ์ ซึ่งเป็นการระบุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการควบรวม หรือการเข้าซื้อกิจการ บริษัทต้องประเมินว่าการทำธุรกรรมนี้จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรอย่างไร รวมถึงการประเมินโอกาสและความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น

2. การหาบริษัทเป้าหมายและการเจรจา: เมื่อมีการกำหนดกลยุทธ์แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาบริษัทเป้าหมายที่มีคุณสมบัติตรงตามวัตถุประสงค์ของการควบรวมหรือการเข้าซื้อกิจการ การเลือกบริษัทเป้าหมายต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ขนาดธุรกิจ สถานะทางการเงิน สภาพคล่อง และแนวโน้มการเติบโต หลังจากนั้น การเจรจาเพื่อให้ได้ข้อตกลงที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายจะเริ่มขึ้น

3. การทำ Due Diligence: การทำ Due Diligence เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการ M&A ซึ่งบริษัทผู้ซื้อจะทำการตรวจสอบสถานะทางการเงิน สัญญาทางธุรกิจ ภาระหนี้สิน และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเป้าหมาย การตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และทำให้กระบวนการ M&A ดำเนินไปอย่างราบรื่น

4. การจัดทำสัญญาและการปิดการขาย: เมื่อการตรวจสอบ Due Diligence เสร็จสิ้นแล้ว การจัดทำสัญญาการควบรวมหรือการเข้าซื้อกิจการจะเริ่มขึ้น สัญญานี้จะระบุเงื่อนไขและข้อตกลงต่างๆ ที่ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติตาม รวมถึงการชำระเงิน การโอนสิทธิ์ในทรัพย์สิน และการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หลังจากนั้น กระบวนการปิดการขายจะเกิดขึ้น โดยการโอนกรรมสิทธิ์และการดำเนินการตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญา

5. การบูรณาการหลังการควบรวม: ขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการ M&A คือการบูรณาการหลังการควบรวม ซึ่งเป็นการรวมระบบ การจัดการทรัพยากร และวัฒนธรรมองค์กรของบริษัททั้งสองฝ่ายให้เข้ากันอย่างลงตัว การบูรณาการที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจใหม่ที่เกิดจากการควบรวม หรือการเข้าซื้อกิจการสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายที่วางไว้

กระบวนการ M&A เป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อนและต้องการความรอบคอบในทุกขั้นตอน จากการวางแผนเชิงกลยุทธ์ การหาบริษัทเป้าหมาย การทำ Due Diligence การจัดทำสัญญา ไปจนถึงการบูรณาการหลังการควบรวม ความสำเร็จของกระบวนการ M&A ขึ้นอยู่กับการดำเนินการอย่างละเอียดถี่ถ้วนในแต่ละขั้นตอน เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นบริษัทที่กำลังพิจารณาการควบรวม หรือจะเป็นบริษัทที่กำลังสนใจจะเข้าซื้อกิจการ การเข้าใจกระบวนการ M&A เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ

ที่มาของข้อมูล/ภาพ: สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.), ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

A.T.A. Carnet: The Passport for Goods

คุณเคยสงสัยไหมคะว่า … ในการแข่งขันโอลิมปิกส์ การแข่งรถ เทศกาลดนตรี หรือ การจัดแสดงสินค้าเครื่องจักรในต่างประเทศ นักกีฬาทั้งทีมขนอุปกรณ์ ขนรถแข่ง ศิลปินขนเครื่องดนตรีของทั้งวงออเคสตร้า หรือบริษัทฯ ขนเครื่องจักรใหญ่ๆกลับไปกลับมาข้ามทวีปได้อย่างไร คำตอบก็คือ พวกเขามักใช้ A.T.A Carnet เป็นตัวช่วยกันค่ะ

A.T.A. Carnet (Admission Temporaire/ Temporary Admission) หรือที่มักถูกเรียกว่า พาสปอร์ตสำหรับสินค้า เป็นเอกสารศุลกากรระหว่างประเทศที่อนุญาตให้นำเข้าตัวอย่างสินค้า สินค้าสำหรับจัดแสดงหรืออุปกรณ์วิชาชีพเข้าสู่ประเทศสมาชิกชั่วคราวโดยไม่ต้องชำระภาษีนำเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือวางเงินประกันที่ด่านศุลกากรแต่ละแห่งเป็นระยะเวลาสูงสุดหนึ่งปี โดยหอการค้านานาชาติ (ICC) ออกแบบเอกสารนี้มาเพื่ออำนวยความสะดวก ส่งเสริมธุรกิจและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่ง A.T.A. Carnet เป็นเอกสารมาตรฐานที่สามาถใช้ได้ในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก

ขั้นตอนหลักของ A.T.A. Carnet

  • การเตรียมเอกสาร: เอกสารค้ำประกัน (A.T.A. CARNET) และเอกสารรายละเอียดสินค้า 1 ชุด 4 ส่วน

– ปกหน้าและปกหลัง (สีเขียว) และใบต่อ (สีขาว)

– แบบส่งออกและแบบนำกลับเข้ามาในราชอาณาจักร (สีเหลือง)

– แบบนำเข้าและแบบส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร (สีขาว) และ

– แบบผ่านแดนขาเข้าและแบบผ่านแดนขาออก (สีฟ้า)

  • การนำเสนอ: เมื่อมาถึงด่านศุลกากรของประเทศปลายทาง ผู้ถือ A.T.A. Carnet นำเสนอเอกสารต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสารและอนุญาตให้สินค้านำเข้าโดยไม่ต้องชำระภาษีหรือค่าธรรมเนียมใดๆ
  • การตรวจสอบ: A.T.A. Carnet จะได้รับการตรวจสอบที่แต่ละด่านศุลกากร เจ้าหน้าที่บันทึกการเข้าและออกของสินค้า เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าจะออกจากประเทศภายในระยะเวลาที่กำหนด
  • การคืนเอกสาร: เมื่อสินค้ากลับมาถึงประเทศต้นทาง A.T.A. Carnet จะถูกส่งคืนให้กับองค์กรที่ออกเอกสารเพื่อตรวจสอบขั้นสุดท้าย

สำหรับธุรกิจที่ต้องการขยายตลาดไปทั่วโลก การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก A.T.A. Carnet ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การดำเนินงานระหว่างประเทศที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ หาก “เวลา และ ประสิทธิภาพ รวมทั้งการประหยัดต่อกระบวนการ” เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆที่ตัดสินความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ A.T.A. Carnet ถือได้ว่าเข้ามาช่วยปฏิวัติวงการเลยค่ะ

ที่มาของข้อมูล/ภาพ : Thai Customs, International Chamber of Commerce (ICC)

ส่องสถิติการลงทุนจากต่างชาติของกลุ่มประเทศอาเซียน

อ้างอิงจากรายงานของ Milken Institute กลุ่มประเทศที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกเป็นพิเศษและมีการลงทุนอย่างเข้มข้นแม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากวิกฤตการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่องยังคงเป็นกลุ่มของประเทศเกิดใหม่และกำลังพัฒนาในทวีปเอเชีย (Emerging and Developing Asia) โดยสามารถดึงดูดเงินทุนได้กว่าครึ่งหนึ่ง (53.2%) ของทุนทั้งหมดที่ลงทุนในกลุ่มประเทศเกิดใหม่และประเทศพัฒนาทั่วโลกในปี 2018 – 2022 ตามรายงานของ Milken Institute

เมื่อพิจารณาความดึงดูดในการลงทุนเป็นรายประเทศในโซนเอเชียพบว่านอกจากสิงคโปร์ที่อยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว มาเลเซีย ไทย และจีน ถือเป็น Top 3 ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่และกำลังพัฒนาที่มีปัจจัยเอื้อต่อการลงทุนมากที่สุดตามลำดับ โดยเทียบจากดัชนี Global Opportunity Index หรือ GOI ที่จัดทำโดย Milken Institute จากการพิจารณาประเทศใน 5 กลุ่มปัจจัย ประกอบด้วย การรับรู้ในธุรกิจ (Business perception) โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Economic fundamentals) บริการทางการเงิน (Financial services) กรอบแนวคิดเชิงสถาบัน (Institutional Framework) และการมีมาตรฐานและนโยบายระหว่างประเทศไทย (international standards & policy) เพื่อจัดลำดับประเทศที่มีความดึงดูดในการลงทุนมากที่สุดจากความสามารถในการรองรับการลงทุนดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยถึงแม้ว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วจะมีเสถียรภาพและระบบที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนมากกว่า แต่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และกำลังพัฒนากลับเป็นทางเลือกยอดนิยมในกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการแสวงหาผลตอบแทนที่สูง

Global Opportunity Index (GOI) of Emerging and Developing Asian countries.

(Source: Milken Institute)

เมื่อเทียบลำดับการเติบโตของมูลค่าการลงทุนของประเทศกลุ่มอาเซียนในช่วงปี 2019 – 2022 พบว่าสองอันดับแรก ได้แก่ มาเลเซียและไทย ค่อนข้างสอดคล้องกับการจัดลำดับ GOI ดังที่กล่าวมาก่อนหน้า ในขณะที่พม่าเป็นอันดับที่สามที่มีการเติบโตมูลค่าการลงทุนมากที่สุด อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณามูลค่าเงินลงทุนแล้วพบว่าจำนวนเงินลงทุนเข้าประเทศพม่ายังอยู่ในกลุ่มรั้งท้ายเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนอื่นๆ ที่เหลือ

Flows of Inward Foreign Direct Investment (FDI) to ASEAN Countries (Million USD).

(Source: ASEAN Statistics Division)

สำหรับประเทศที่เลือกลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียนโดยมีมูลค่าการลงทุนสะสมในช่วงปี 2018 – 2022 มากที่สุด คือ นักลงทุนจากญี่ปุ่น ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ ในขณะที่จีนครองที่ 4 จากการจัดลำดับดังกล่าว โดยประเทศไทยติดอันดับที่ 9 ของประเทศที่มีการลงทุนภายในประเทศภูมิภาคอาเซียนมากที่สุดเช่นเดียวกัน

Flows of Inward Foreign Direct Investment (FDI) into ASEAN by Source Country (Million USD).

(Source: ASEAN Statistics Division)

ดังนั้น จากสถิติที่ได้กล่าวมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ทำให้สามารถเห็นได้ชัดเจนว่าตลาดภูมิภาคอาเซียนยังคงมีความน่าดึงดูดในการลงทุน ก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเข้มข้นระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียนในการเสนอเงื่อนไขเพื่อดึงดูดเงินลงทุนเข้าประเทศตนเองให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงประเทศไทยที่มีการวางโครงสร้างการลงทุนอย่างเป็นระบบและมีการสนับสนุนผู้ลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 ทาง The Board of Investment of Thailand (BOI) ได้ประกาศสถิติการลงทุนจากต่างประเทศในประเทศไทยโดยพบว่าจำนวนโครงการในอุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์และเงินลงทุนในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมลงทุนมีจำนวนมากที่สุด และเมื่อจัดลำดับแหล่งที่มาของเงินทุนพบว่า จีน เป็นประเทศที่มีจำนวนโครงการและเงินลงทุนในประเทศไทยมากที่สุดในปี 2023

ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะจัดอยู่ในลำดับต้นๆ สำหรับประเทศอาเซียนที่มีความดึงดูดในการลงทุนและมีการลงทุนมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนต่างก็มีการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันเพื่อที่จะรองรับการลงทุนจากต่างชาติดังกล่าวโดยเฉพาะทุนจากจีนซึ่งเป็นแหล่งสร้างรายได้การลงทุนจากต่างชาติหลักให้กับประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมา ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ควรนิ่งนอนใจและยังควรพัฒนาประเทศให้มีความก้าวหน้าขึ้นไปอีกเพื่อให้ยังคงสามารถรักษาฐานผู้ลงทุนในปัจุบันอย่างเหมาะสมและรองรับการลงทุนจากต่างชาติได้อีกในอนาคต

ที่มา: Milken Institute, ASEAN Statistics Division, The Board of Investment of Thailand

การเตรียมความพร้อมของการมี ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ในประเทศไทย 

ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เปิดรับฟังความเห็นต่อแนวทางการอนุญาตให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ตั้งแต่ต้นปี 2566 ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายแห่งต่างให้สนใจที่จะขอใบอนุญาตเพื่อการลงทุนในการจัดตั้ง Virtual Bank ในประเทศ ดังนั้น Blog ฉบับนี้ผู้เขียนได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ Virtual Bank โดยสามารถสรุปเป็นประเด็นได้ดังนี้ 

Virtual Bank คืออะไร

ธปท. ให้ความหมายของ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา คือเป็นธนาคารพาณิชย์รูปแบบใหม่ที่ให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นหลักโดยไม่มีสาขา เครื่องถอนเงินสดอัตโนมัติ (ATM) หรือเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติ (CDM) เป็นของตนเอง แต่ยังสามารถให้บริการทางการเงินได้อย่างครบวงจร อย่างไรก็ตาม เพื่อให้บริการลูกค้าที่ยังต้องการใช้เงินสด หรือให้บริการที่ยังไม่สามารถทำผ่านช่องทางดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา อาจแต่งตั้งตัวแทนรับฝาก/ถอนเงิน หรือให้บริการผ่านเครือข่าย ATM ของธนาคารพาณิชย์อื่น  

ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา มีความแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิม นอกเหนือจากเรื่องการมีสำนักงานสาขา กล่าวคือ ผู้ขอจัดตั้ง ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา ต้องมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล, มีความเชี่ยวชาญในการนำเทคโนโลยีและข้อมูลที่หลากหลาย อาทิเช่น ข้อมูลทางการเงินและข้อมูลทางเลือก เช่น พฤติกรรมการใช้จ่าย มาใช้ประเมินความเสี่ยงและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งสามารถนำเสนอการบริการทางการเงินในรูปแบบใหม่ (new value proposition) ให้แก่ลูกค้ากลุ่มต่าง ๆ ได้อย่างครบวงจรและเหมาะสม 

ใครคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Virtual Bank 

Virtual Bank สามารถให้บริการลูกค้าได้ทุกกลุ่ม โดยเน้นลูกค้ารายย่อย และ SMEs ที่คุ้นเคยกับการทำธุรกรรมบนโลกดิจิตัล รวมถึงกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินในระบบ (Unserved) เช่น ไม่เคยมีบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงิน หรือเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ และกลุ่มที่ยังไม่ได้รับการบริการที่ดีพอ ไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตน (underserved) ให้มีโอกาสเข้าถึงหรือได้รับบริการทางการเงินที่ดีขึ้น 

ผลกระทบของการเปิด Virtual Bank ต่อธนาคารพาณิชย์ดั้งเดิม หรือการเข้ามาทดแทนธนาคารพาณิชย์ 

จากข้อมูลของ ธปท. ได้อธิบายว่าในต่างประเทศหลายๆ ที่ การประกอบธุรกิจ Virtual Bank ไม่ได้กระทบกับผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ดั้งเดิม หากแต่ช่วยกระตุ้นการแข่งขัน และเพิ่มประสิทธิภาพในระบบการเงิน เช่นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า และลดค่าธรรมเนียมการใช้บริการ 

กรณีศึกษาความสำเร็จของ Virtual Bank ในต่างประเทศ  

Nu Bank ธนาคาร Virtual Bank สัญชาติบราซิลที่ใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกา มีลูกค้ามากกว่า 85 ล้านคน ทั้งในบราซิล แม็กซิโก และโคลอมเบีย อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett) เข้าลงทุนเมื่อปี พ.ศ. 2564 ซึ่งมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยจุดเด่นของ NuBank คือได้ผลตอบแทนสูง ทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ไม่มียอดฝากขั้นต่ำ และไม่เก็บค่ารักษาบัญชี

ใบอนุญาต Virtual Bank ที่มี 4 กลุ่มนักลงทุนสนใจ และคาดว่าจะยื่นคำขออนุญาตจัดตั้ง Virtual Bank 2567 

CP x True Money x Ant Group 

กลุ่ม CP มีความสนใจที่จะยื่นขอใบอนุญาต โดยมีแผนการที่จะยื่นผ่านบริษัทในเครืออย่าง ทรู มันนี่ (True Money) รวมทั้งบริษัทมีพาร์ทเนอร์หลักสำคัญอย่าง Ant Group หรือชื่อเดิม Ant Financial Services ซึ่งปัจจุบันเป็นพาร์ทเนอร์ และผู้ถือหุ้นใน บริษัทแอสเซนด์ มันนี่ (Ascend Money Group) บริษัทฟินเทคของกลุ่มซีพี ภายใต้บริการ ทรู มันนี่

SCBX x KakaoBank x WeBank 

นที่ 22 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา SCBX  ได้ประกาศจับมือกับ WeBank จากประเทศจีนเพิ่มอีก 1 ราย หลังจากก่อนหน้านี้ SCBX ได้ประกาศลงนามความร่วมมือกับ KakaoBank ผู้นำด้านธนาคารดิจิทัลรายใหญ่ของเกาหลีใต้ เพื่อเตรียมพร้อมขยับตัวเข้าสู่ Virtual Bank มีจุดเด่นด้านการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยปรับใช้เพื่อยกระดับประสบการณ์การใช้งาน เช่น Chatbot และ AI ซึ่งทำให้ SCBX เป็นอีกหนึ่งกลุ่มนักลงทุนที่พร้อมจะยื่นขอใบอนุญาต

JMART x KB Financial Group

JMART ให้ความสนใจ และพัฒนาเรื่อง Virtual Bank มาอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าให้บริษัทในเครืออย่าง J Ventures เป็นผู้ขับเคลื่อนเทคโนโลยีดังกล่าวสู่ผู้บริโภค โดยมีพันธมิตรที่สำคัญคือ KB Financial Group กลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำในประเทศเกาหลีใต้ นอกจากนี้ JMART ยังมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ Unserved Segment หรือกลุ่มลูกค้าที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน ในต้นทุนและราคาที่เหมาะสม

GULF x OR x AIS x KTB

GULF เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่เตรียมความในการยื่นขอใบอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยด้านการจัดตั้ง Virtual Bank โดยจะร่วมมือกับ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AIS และธนาคารกรุงไทย (KTB) นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรอีกหนึ่งรายอย่าง บมจ.ปตท. น้ำมัน และการค้าปลีก (OR) ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาเงื่อนไขการร่วมลงทุนด้วย

               สุดท้ายผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถบริหารจัดการกับระบบฐานข้อมูลทางการเงินได้ ผ่านความเชี่ยวชาญจากกลุ่มนักลงทุนทั้ง 4 กลุ่มได้ การบริการแบบ Virtual Bank จะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคในประเทศไทยทุกระดับชั้น รวมถึงเพิ่มโอกาสในแข่งขันทางธุรกิจของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในเวทีโลกขึ้นอีกด้วย

เตรียมตัวก้าวเข้าสู่ปี 2024:ข้อควรรู้ส าหรับผู้ประกอบการเพื่อการด าเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

ความซื่อตรง (Integrity) คือรากฐานที่ส าคัญของการท าธุรกิจที่ยั่งยืน

นอกจากองค์กรณ์ผู้ประกอบการธุรกิจแล้วนั้น แน่นอนว่า
การด าเนินธุรกิจจะสามารถด าเนินไปได้ต่อเมื่อได้รับการยอมรับและ
มีความต้องการจากผู้บริโภค องค์กรณ์คู่ค้า และนักลงทุน หากแต่
การพยายามจะพูดโน้มน้าวจูงใจผู้เกี่ยวข้องเหล่านั้นที่มากเกินไป
กว่าขอบเขตที่ผู้ประกอบการจะสามารถท าได้จริงอาจน าไปสู่ความ
เสื่อมเสียขององค์กรณ์และการสูญเสียความเชื่อใจในระยาวของ
ผู้เกี่ยวข้องได้โดยง่ายดาย ทั้งนี้การสื่อสารขององค์กรณ์จึงเป็นสิ่งที่
ส าคัญเป็นอย่างมาก เพราะการสื่อสารและแสดงออกของอค์กรณ์จ าต้องสามารถที่จะโน้มน้าวจูงใจและสร้างความเชื่อใจ
ระหว่างองค์กรณ์กับผู้เกี่ยวข้อง แต่จ าต้องไม่เป็นการน าเสนอสิ่งที่มากจนเกิดความจริงที่อาจน าไปสู่ความเข้าใจผิดได้ใน
อนาคต

การประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence) อย่างชาญฉลาด 

คงจะปฎิเสธไม่ได้ว่าปี 2023 ที่ผ่านมา ได้เป็นปีที่พิสูจน์
ให้เห็นศักยภาพในด้านต่าง ๆ ของปัญญาประดิษฐ์ในแวดวงธุรกิจ
เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส าหรับปัญหาประดิษฐ์เชิง
ก าเนิด (Generative AI: Generative Artificial Intelligence)
อาทิ ChatGPT และ MidJourney ที่สามารถน ามาประยุกต์ช่วย
ทุ่นแรงในการท างานด้านต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์แยกแยะข้อมูล
การแปลภาษา และการท างานแทนที่มนุษย์อาทิ การรังสรรค์
ภาพประกอบ หรือแม้แต่การสร้างวิดีโอโฆษณาต่าง ๆ ศักยภาพ
ของปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วจนเดินทางมาถึงในจุดที่สามารถทั้งช่วยทุ่นแรงและท างานแทนมนุษย์ได้อย่างไร้ที่ติ
จนได้น ามาซึ่งความคิดเห็นที่เปิดรับและความเห็นที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็ดี ศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบันยังคง
มีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อไป ท าให้การเปิดรับ ท าความเข้าใจ และหาทางน าปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้ร่วมกับทรัพยากรณ์
มนุษย์ในองค์กรณ์อย่างลงตัวตามจุดประสงค์ต่าง ๆจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์กรณ์เป็นแน่แท้

เปิดรับวัฒนธรรมการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid working environment) 

การท างานแบบไฮบริด คือหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่เกิด
มาจากวิกฤตการณ์โควิด 19 ที่ส่งผลระยะยาวต่อวัฒนธรรมการ
ท างานขององค์กรณ์ต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นองค์การในภาครัฐ
หรือภาคเอกชน ทุก ๆ องค์กรณ์ล้วนต้องเปิดรับวัฒนธรรมการ
ท างานแบบไฮบริดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในยามวิกฤตการณ์โควิด 19
และถึงแม้ในขณะนี้หลาย ๆ องค์กรณ์จะกลับสู่การเข้าท างานที่
องค์กรณ์ทุกวันท าการณ์ ก็ยังมีอีกหลากหลายองค์กรณ์ที่พบว่าการ
ท างานแบบไฮบริดอาจเป็นวัฒนธรรมการท างานแบบใหม่ที่ตอบโจทย์องค์กรณ์และพนักงานจนน่าประหลาดใจ เพราะการไม่
ต้องเข้ามานั่งท างานในบริษัทน าไปสู่การประหยัดทรัพยากรของบริษัทในขณะที่พนักงานยังสมารถท างานได้ตามปกติ และยัง
ท าให้พนักงานมีความสุขมากขึ้นที่ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางด้วยเช่นกัน การที่องค์กรณ์เปิดใจน้อมรับวัฒนธรรมการ
ท างานแบบไฮบริดอย่างยืดหยุ่นตามจึงอาจสามารถน าไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจในทุกฝ่ายจนคิดไม่ถึงเลยก็ว่าได

ที่มาของข้อมูล/ภาพ : Forbes, IESE, LBS

10 เทรนด์การตลาดแห่งปี 2024

ไม่ว่าสินค้าหรือบริการของจะดีเพียงใด สิ่งที่ผู้ประกอบการจะละเลยไปไม่ได้เลยนั่นก็คือ การท าการตลาดอย่างมีกลยุทธ์
(Strategic Marketing) เพราะหากไม่มีการท าการตลาดที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะส่งสารได้อย่างน่าดึงดูดถึงกลุ่มผู้บริโภค
เป้าหมาย สินค้าหรือบริการที่ถูกจัดการจัดแจงมากอย่างดิบดีก็คงจะถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ในวันนี้ทางเราจึงขอ
น าเสนอถึง 10 เทรนด์การตลาดแห่งปี 2024 ที่ผู้ประกอบการควรพึงน ามาประยุกธ์ใช้ในการท าการตลาดเพื่อธุรกิจของตน

(1) Artificial Intelligence (AI)และระบบอัตโนมัติในการตลาด: บริษัทใช้ AI และ
ระบบอัตโนมัติเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า โดยตอบค าถาม และแนะน าสินค้า
ในการติดต่อลูกค้าแบบเรียลไทม์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดและ
สร้างประสบการณ์ที่เฉพาะบุคคลส าหรับลูกค้า โดยยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ
แคมเปญและให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่มาจากข้อมูลที่มีคุณภาพสูงขึ้น

(2) การตลาดที่สามารถเข้าถึงตัวของลูกค้าได้แบบเฉพาะเจาะจง โดยการใช้ Big Data มาวิเคราะห์: ในยุคปัจจุบัน, เทคโนโลยี
Big Data และ Machine Learning เป็นแนวโน้มส าคัญในการตลาดที่เน้นการเข้าถึงลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล ด้วยการใช้ข้อมูล
จากหลายแหล่ง เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลซับซ้อน เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดที่เน้นการ
เข้าถึงลูกค้าอย่างเฉพาะเจาะจง และปรับปรุงเนื้อหา ผลิตภัณฑ์ ข้อเสนอ และการสื่อสารให้เหมาะสมกับแต่ละลูกค้า

(3) การเกิดเครื่องมือการตอบค าถาม Answer Engine Optimization (AEO): แนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงการตลาดด้านออนไลน์
โดยการพัฒนา AEO เป็นที่นิยม เมื่อ Search Engine Optimization (SEO) เป็นเครื่องมือที่นับถือ มานานแล้ว AEO เน้นการ
ปรับเนื้อหาออนไลน์ให้ตอบค าถามของผู้ใช้อย่างชัดเจน เพื่อเข้ากับกล่องค าตอบบนผลการค้นหาสูงสุดและระบบตอบกลับ
เสียงอัตโนมัติ โดย AEO จะมุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบสนองต่อค าถามของผู้ใช้ในที่เดียว

(4) คอนเทนต์อัตโนมัติ (Content Automation): ปัจจุบันกลยุทธ์การตลาดเน้น
คอนเทนต์ โดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อรักษาความสม ่าเสมอและประสิทธิภาพ ท า
ให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นกับแบรนด์มากขึ้นผ่านการเข้าถึงและสัมผัสคอนเทนต์
ผ่านช่องทางและอุปกรณ์ต่าง ๆ ท าให้เกิดประสบการณ์ที่มีความเชื่อมั่นกับแบ
รนด์ขึ้น

(5) การตลาดที่ยั่งยืนและใส่ใจต่อสังคม: ในปัจจุบัน ผู้บริโภคไม่เพียงแค่สนใจการซื้อสินค้าหรือบริการ แต่ยังต้องการแบรนด์ที่มี
ค่านิยมชัดเจน โดยมุ่งหวังให้มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก
เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเป็นธรรมทางสังคม

(6) การตลาดเชิงทดลอง: การทดลองสร้างนวัตกรรมเป็นแนวการแข่งขันส าหรับธุรกิจในปัจจุบัน เน้นความคิดสร้างสรรค์และ
การทดลองเพื่อกระตุ้นความกระตือรือร้นให้กับลูกค้าและพนักงาน เป็นการผสานนวัตกรรมทางการตลาดและการสนับสนุนแบ
รนด์ ท าให้มีความพยายามทางการตลาดและเชื่อถือได้มากขึ้น

(7) การตลาดผ่าน Influencer: การใช้ Influencer ในการตลาดเพิ่มประสิทธิภาพ
ด้วยการร่วมมือกับ Micro และ Nano Influencer ที่มีความเกี่ยวข้องและสร้าง
ความเชื่อถือกับกลุ่มเป้าหมาย การใช้ AI เพื่อติดตามผลลัพธ์ของ Influencer เพิ่ม
ความส าเร็จในการตลาดด้วยข้อมูลที่ส าคัญ การร่วมมือกับ Influencer เพื่อสร้าง
การรับรู้และความเชื่อมั่นในแบรนด

(8) การไม่แบ่งแยกและการยอมรับความหลากหลาย: ผู้บริโภคต้องการแบรนด์ที่มีความหลากหลายในผลิตภัณฑ์และการ
โฆษณา และสนับสนุนค่านิยมที่ไม่แบ่งแยกผู้คน แบรนด์ที่ปฏิบัติตามหลักการนี้สร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงด้วยอีดเฉกเช่นเดียวกัน

(9) Metaverse แ ละ ก า ร มี ส่ วนร่วม เสมือ น: Metaverse ที่มุ่ ง เ น้น ก ารสร้าง
ประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและมีส่วนร่วมในโลกดิจิทัล ส่งผลให้นักการตลาดมีโอกาส
สร้างประสบการณ์แบรนด์ที่ท้าทายและเพิ่มการมีส่วนร่วม โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์
เสมือนจริง และแคมเปญการตลาดตามพฤติกรรมดิจิทัลของผู้ใช้ เพื่อสร้างชุมชนและ
เสนอประสบการณ์ที่น่าสนใจ

(10) ระบบนิเวศการตลาดที่ใช้เทคโนโลยี: บริษัทหลายแห่งเริ่มให้ความส าคัญกับการสร้างระบบนิเวศเทคโนโลยีการตลาดที่ ครอบคลุมและบูรณาการ เพื่อปรับปรุงการด าเนินงานและ ROI โดยใช้แนวทางเทคโนโลยีการตลาดแบบองค์รวมและบูรณา การ เช่น ระบบนี้ช่วยปรับปรุงการด าเนินงาน เสริมสร้างความเป็นส่วนตัวของลูกค้า และพัฒนาผลตอบแทนจากการลงทุนโดย ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มาของข้อมูล/ภาพ : Marketing Association of Thailand (MAT)

ซอฟต์พาวเวอร์ของเกาหลีใต้และบริบทของประเทศไทย

ด้วยกระแสของการโปรโมทซอฟต์พาวเวอร์ (soft power) ในประเทศไทย รวมไปถึงการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติเมื่อปลายปีที่แล้ว ทำให้หลายคนเริ่มหันมาให้ความสนใจ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้เห็นกระแสของเกาหลีฟีเวอร์ที่เผยแพร่ไปทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หรือแม้แต่การส่งออกละครจากจีนและกระแส J-Trend ที่ส่งออกจากญี่ปุ่นในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งโดยสรุปแล้วอาจตีความได้ว่าซอฟต์พาวเวอร์นั้นคืออำนาจหรือความสามารถของประเทศที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้อื่นเพื่อให้ได้รับการยอมรับหรือได้มาในสิ่งที่ต้องการได้ ทั้งนี้ ซอฟต์พาวเวอร์ไม่ได้หมายรวมถึงแค่การโปรโมทเชิงวัฒนธรรมเพียงเท่านั้น โดย Josh Nye ผู้ริเริ่มแนวคิดดังกล่าวได้กล่าวถึงที่มาทั้ง 3 แหล่งของซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ ได้แก่ วัฒนธรรม ค่านิยมทางการเมือง และนโยบายการต่างประเทศ ที่เป็นหัวใจหลักส่งเสริมความสามารถในการโน้มน้าวให้เกิดการยอมรับ ความเชื่อ หรือแม้กระทั่งแรงจูงใจต่างๆ ที่จะนำมาสู่ประโยชน์ของประเทศเจ้าของซอฟต์พาวเวอร์ได้ในที่สุด

จากการจัดอันดับประเทศที่มีซอฟต์พาวเวอร์มากที่สุดในปี 2023 (Global Soft Power Index 2023) โดย Brand Finance พบว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีซอฟต์พาวเวอร์ทรงอิทธิพลมากที่สุด โดยเฉพาะอิทธิพลของวงการหนังฮอลลีวูดหรือแนวคิดเชิงเสรีที่สามารถแทรกซึมได้ในหลายประเทศ สำหรับประเทศไทยแล้วเราอาจเห็นตัวอย่างของซอฟต์พาวเวอร์ที่ชัดเจนได้จากอิทธิพลของประเทศแถบเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะประเทศเกาหลีใต้ (อันดับ 15 ของ Global Soft Power Index 2023) ผู้ส่งออกกระแส Hallyu หรือ Korean waves เพื่อโปรโมทวัฒนธรรมเกาหลีและเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศในการส่งออกสินค้าและบริการในวงการอาหาร ซีรี่ส์-ภาพยนต์ ดนตรี และเกมออนไลน์ โดยกระแสความนิยมที่เกิดขึ้นประกอบกับการผลักดันผ่านนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล ทำให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจของเกาหลีใต้จนสามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นผู้นำของโลกได้ในที่สุดไปพร้อมกับกระแสความนิยมที่ยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากผลการศึกษาของ Korean Foundation for International Cultural Exchange (KOFICE) ที่สรุปว่ากระแสการส่งออก Hallyu ได้สนับสนุนมูลค่าการส่งออกของเกาหลีใต้มากถึง 6.4 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019

สำหรับประเทศไทยที่อยู่อันดับที่ 41 ของโลกและอันดับที่ 3 ในภูมิภาคอาเซียนในการจัดอันดับ Global Soft Power Index 2023 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย วัฒนธรรมไทยและภาพลักษณ์ความเป็นไทยค่อนข้างเป็นที่รู้จักในบริบทโลก สังเกตได้จากกระแสความนิยมอาหารไทย มวยไทย ชุดไทย หรือแม้แต่ชุดนักเรียนที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีนเมื่อไม่นานมานี้ ถึงอย่างนั้นกระแสดังกล่าวก็ยังขาดการกระตุ้นจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เพียงพอ ถึงแม้วัฒนธรรมไทยจะเป็นที่รู้จัก แต่การทำให้กระแสความรู้จักนี้อยู่ต่อไปได้และได้รับการยอมรับจนถึงระดับที่ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมหาศาลอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยการนำร่องนโยบายซอฟต์พาวเวอร์อย่าง 5F (Food, Film, Fashion, Fighting, Festival) ของรัฐบาลชุดก่อนและการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เราอาจเห็นภาพการส่งออกวัฒนธรรมของประเทศไทยไปยังประเทศต่างๆ อย่างเหมาะสมเพิ่มมากขึ้นในอนาคตก็เป็นได้

ที่มา: Foreign Policy, Brand Finance, KOFICE, Korean Economic Institute (KEI), ASEAN, MGR online, Positioning

ติดต่อเรา

  • บริษัท

    เอสบีซีเอส จำกัด (สำนักงานใหญ่)

  • ที่อยู่

    เลขที่ 1 อาคารคิวเฮ้าส์ลุมพินี ชั้น 16 ถนนสาทรใต้
    แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพฯ 10120

  • โทรศัพท์

    +66 2 677 7270-5

  • Contact

    ติดต่อเรา

Contact
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
สอบถามทางโทรศัพท์
+66 2 677 7270-5
10th Floor, Q. House Lumpini Building,
No. 1 South Sathorn Road, Tungmahamek, Sathorn, Bangkok 10120, Thailand